รีวิว The Hunger Games: Mockingjay – Part 2 ภาคสุดท้ายของ เกมล่าเกม

The Hunger Games หนังจากวรรณกรรมดังที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ที่ทำให้ Jennifer Lawrence กลายมาเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าในวงการมายาฮอลลีวูด จากหนังสือ 3 เล่ม หนังได้รับการสร้างมาจนถึงภาคที่ 3.1 พาร์ทแรกของเล่มที่สาม ‘Mockingjay’ และตอนนี้ ก็ได้เวลาของพาร์ทที่สอง และภาคปิดท้ายในชื่อ ‘The Hunger Games: Mockingjay – Part 2’ หลังจากหนังภาคสุดท้ายถูกตัดแบ่งครึ่ง แยกเรื่องดราม่าและการเมืองเอาไว้ในพาร์ทแรก พอมาพาร์ทนี้ก็เลยผสมปนเปกันไประหว่าง ดราม่า แอ็คชั่น โรแมนติก และการเมือง หลังจากที่ใครๆ ก็มันเดินเรื่องเนือยๆ แม้ว่าจะทำให้โดดเด่นด้านการเมือง


เรื่องราว หลังฝ่ายกบฎช่วยพีต้า (Josh Hutcherson) ออกมาได้ แต่ก็ดูเหมือนสมองของเขาจะยังกระทบกระเทือนไม่น้อยจากการโดนล้างสมอง แต่หุ่นเชิดอย่าง แคทนิส เอเวอร์ดีน (Jennifer Lawrence) ผู้ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นม็อกกิ้งเจย์ เป็นตัวแทนของความหวังในกอบกู้และยึดคืนซึ่งประชาธิปไตยของทุกพาเน็ม ก็เริ่มจะตระหนักมากขึ้นแล้วว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องยืนหยัดปลุกเร้าผู้คนในลุกขึ้นรวมใจเป็นหนึ่งเพื่อต่อสู้  แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เหตุการณ์ดูเหมือนจะพลิกผัน ม็อกกิ้งเจย์หุ่นเชิดเกิดอยากจะตะลุยแคปิตอลด้วยตัวเอง หมายสังหารประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ด้วยใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว การปลุกเร้ามวลชนของเธอนั้นได้ผลอยู่แล้ว ฝึมือการยิงธนูนั้นก็ร้ายกาจ การจะจัดการกับผู้นำเผด็จการนั้นยากเพียงแค่การฝ่าไปให้ถึงทำเนียบเท่านั้น


โดยสรุปเปิดเรื่องด้วยฉากที่ต่อจากพาร์ทต่ออย่างที่ไม่มีการเล่าซ้ำ หากคุณจะทำการบ้านด้วยการดูพาร์ทแรกมาก่อนก็จะเป็นการดีอย่างมาก แอ็กชั่นมากขึ้น แต่ยังไม่ทิ้งดราม่า การเมืองและโรแมนติก สิ่งที่เพิ่มเติมมาในพาร์ทที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นพาร์ทของแอ็คชั่น ที่เราจะได้เห็นความสนุกตื่นเต้นในช่วงของการบุกเข้าสู่แคปิตอล ทั้งบนบกและใต้ดิน พร้อมยังได้เจอเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่แคปิตอลเลี้ยงดูเล่นอีกด้วยซึ่งก็แน่นอนว่า ‘Mockingjay – Part 2’ ยังคงไม่ทิ้งลายเส้นด้านหนังที่มีแง่มุมทางการเมือง ผสมกับดราม่ารักสามเส้าที่ปูกันมาตั้งแต่ต้น หากแต่เรื่องราวการเมืองออกจะขมวดปมให้เข้มขึ้นเสียด้วยซ้ำ เมื่อหนังทำให้เราคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ว่าจะต่อสู้เพื่อคนอื่นสักแค่ไหน เสียเลือดเสียชีวิตคนไปสักเท่าใด


👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังแอคชั่นไซไฟ ได้ที่นี่

Comments

Popular posts from this blog

รีวิวหนัง Six Minutes to Midnight รหัสลับ พลิกสมรภูมินรก

Seobok (2021) ซอบก

Detective Chinatown 3 แก๊งม่วนป่วนโตเกียว